วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

Everyday vs Every day








ถาม : เวลาเขียนคำว่า everyday จะเขียนห่างกันว่า every day หรือติดกันแบบ everyday คะ
ตอบ : ไม่ว่าน้องๆจะเขียนแบบไหน everyday หรือ every day เขียนได้ทั้งสองแบบค่ะ มีความหมายเหมือนกันคือ "ทุกวัน" แต่สองคำนี้ใช้ในโอกาสที่ต่างกัน

everyday เขียนติดกันเป็น adj. ใช้สำหรับขยายนาม มักวางไว้หน้านามที่ขยาย เช่น
            Everyday English is not easy.
            ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ
            My everyday life is very happy.
            ชีวิตในทุกๆวันของฉันมีความสุขมาก
ส่วน every day ที่เขียนห่างกัน จะทำหน้าที่ขยายกริยา เรียกว่า adverbial phrase หรือวลีที่ทำหน้าที่ adv. ใช้ขยายกริยา วางไว้ท้ายประโยคหรือเริ่มต้นประโยค อย่างเช่น
           I try to speak English every day.
           ฉันพยายามพูดภาษาอังกฤษทุกวัน
           Every day, I love you more and more.
           ทุกๆวันฉันยิ่งรักคุณมากขึ้น

เห็นไหมคะว่าประเด็นเล็กๆน้อยๆ อย่างจะเขียนแยกกันหรือติดกัน ก็อาจเป็นปัญหาขึ้นมาได้ เหมือน 
everyday กับ every day นี่แหละค่ะ


ทำควมเข้าใจเพิ่มเติม คลิกเลย!!


ลองมาฝึกทักษะการฟังดีกว่า..




A number vs The number




ถาม : เราใช้ a หรือ the นำหน้าคำว่า number คะ เพราะเคยเห็นทั้งสองแบบ
ตอบ : ทั้ง a number และ the number มีความหมายไม่เหมือนกันซะทีเดียวค่ะ a number แปลว่า "มากมาย" มีความหมายเท่ากับ a large number หรือ a great number ใช้กับนามนับได้พหูพจน์ เช่น
A number of small things can make you happy.
สิ่งเล็กๆน้อยๆจำนวนมากสามารถทำให้คุณมีความสุขได้

         - ถ้าเป็น the number จะแปลว่า "จำนวน" ถือเป็นนามเิกพจน์ เช่น
           The number of countries in the world is 195.
จำนวนของประเทศต่างๆ ในโลกเท่ากับ 195 หรือพูดง่ายๆ ก็คือโลกของเเรามีประเทศทั้งหมด 195 ประเทศนั่นเองค่ะ

พี่ไหมขอแถม...

          คำที่มีความหมายเหมือน number อีกคำหนึ่ง คือ คำว่า figure ซึ่งเป็นนาม หมายถึง "ตัวเลข" หรือ "จำนวน"



ทำความเข้าใจเพิ่มเติม คลิกเลย !!



Save vs Safe











ถาม : save the world together หรือ  safe the world together แบบไหนถูกต้องครับ
ตอบ : น้องๆ คงจำได้ดีว่ามีสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งรณรงค์ให้คนหันมาใส่ใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ภายใต้สโลแกน Save the world สังเกตว่าเขาใช้ save ค่ะ

         - สาเหตุที่ใช้ save  ก็เพราะคำนี้เป็นกริยา แปลว่า "รักษา" "เก็บ" หรือ "ช่วยให้รอดชีวิต" และสำหรับใครใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์งาน ก็คงเห็นปุ่ม save ที่หมายถึง "บันทึก" อีกด้วย
Save the world. ขึ้นต้นด้วยกริยาช่องที่ 1 ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยกริยาแบบนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสั่ง หรือขอร้องให้ทำตามนั่นเองค่ะ

         - ส่วน safe เป็น adj. แปลว่า "ปลอดภัย" เช่น
           Thanks Superman with your help, the world is safe again.
           ขอบคุณซูเปอร์แมน โลกไ้กลับมาปลอดภัยอีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือจากคุณ

         - Have a safe trip หรือ Have a safe journey เป้นสำนสน หมายถึง "ขอให้เดินทาโดยสวัสดิภาพ" เหมือน Bon voyage (อ่าว่า บง-วัว-ยาจ) ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส มักแปะอยู่ท้ายรถทัวร์หรือตามป้ายริมทาง
นามของ safe คือ safety ที่น้องๆ คุ้นเคยก็คงได้แก่ safety belt (เข็มขัดนิรภัย) ซึ่งเป็นการสร้างคำโดยใช้นามมาขยายนาม เราวาง belt (เข็มขัด) เป็นนามหลัก แล้วให้ safety เป็นส่วนขยาย เช่นเดียวกับ safety cut  (อุปกรณ์ตัดไฟเพื่อให้ปลอดภัย

พี่ไหมขอแถม...

          นามของ save คือ saving แปลว่า "การเก็บรักษา" มีภาพยนต์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า saving face เล่าถึงความกดดันที่ต้องอยู่ภายใต้วัฒนธรรมการรักษาหน้าของสังคม เราทำสิ่งไหนไม่ดีก็ต้องเก็บไว้ ไม่อยากให้คนอื่นรู้ กลัวเสียหน้า






ทำความเข้าใจเพิ่มเติมกับความแตกต่างระหว่าง save กับ safe ด้วยการดูวิดีโอกันดีกว่านะคะ

 http://www.youtube.com/watch…








Made of vs Made from


ถาม : made of และ made from ใช้ต่างกันอย่างไรคะ
ตอบ : make of ใช้บอกว่าทำมาจากวัสดุอะไร แล้วยังเห็นรูปร่างวัสดุนั้นอยู่ ไม่มีการแปรรูป เช่น
          The ring is made of silver
          แหวนนี้ทำมาจากเงิน

       - แต่ถ้าเป็น make from จะใช้เมื่อมีการแปรรูป เช่น ช็อกโกแล็ตทำจากเมล็ดโกโก้ เราจะไม่เห็นเมล็ดโกโก้หลังจากทำเป็นช็อกโกแล็ตแล้ว
         Chocolate is made from cocoa beans.
         ช็อกโกแล็ตทำมาจากเมล็ดโกโก้

       - การบอกว่าแหวนทำมาจากเงิน หรือช็อกโกแล็ตทำมาจากเมล็ดโกโก้ จะใช้โครงสร้างประโยคถูกกระทำ passive voice เพราะสิ่งของผลิตตัวเองไม่ได้ ต่คนทำขึ้นมา จำได้ไหมคะว่า passive voice มีโครงสร้างคือ verb to be + กริยาช่องที่ 3 โดย made เป็นกริยาช่อง 3 ของ make นั่นเอง





ไหนใครยังอ่านไม่เข้าใจ เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่นี่เลยจ้า
คลิกเลย!!

https://www.youtube.com/watch?v=9EZv6owkhy4





Have been vs Have gone


ถาม : ทำไมใครไปเที่ยวไหนมา ต้องใช้ว่า I have been to... ด้วยล่ะคะ น่าจะใช้ I have gone ก็ได้ เพราะ 
go แปลว่าไปเหมือนกัน
ตอบ : ก่อนอื่นต้องทบทวนเรื่อง tense ก่อนนะคะ เวลาเห็น have/has + กริยาช่อง 3 นั่นคือ present perfect ซึ่งจะใช้เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่ดำเนินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอาจจะต่อไปถึงอนาคต หรือเกิดแล้ว จบแล้ว แต่ผลของการกระทำยังคงอยู่ต่อไป

        - ถ้าเป็น have/has been จะหมายถึง "ไปแล้วกลับมาแล้ว" เช่น
          He has been to the Maldives three times.
แปลว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เขาเคยไปหมู่เกาะมัลดีฟส์มาแล้วสามครั้ง แต่ตอนนี้กลับมาแล้ว ไม่ได้อยู่ที่นั่น

        - แต่ถ้าเป็น have/has gone จะหมายถึง "ไปแล้ว ยังไม่กลับมา" เช่น
          He has gone to the Maldives,he will be back soon.
เขาไปและตอนนี้ยังอยู่ที่มัลดีฟส์ เดี๋ยวเขาก็กลับมาในไม่ช้า

         - ดังนั้นเวลาถามถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา จะใช้ have/has beenพราะเป็นการไปแล้วกลับมาแล้ว เช่น
          Have you ever been to the Maldives.
          คุณเคยไปมัลดีฟส์ไหม




เรียนรู้เพิ่มเติม คลิกเลย !!





Must vs Have to




ถาม : must กับ have to แตกต่างกันอย่างไร ใช้แทนกันได้หรือเปล่าคะ
ตอบ : must กับ have to ใช้กล่าวถึงสิ่งที่ต้องทำ จำเป็นต้องทำ ในประโยคบอกเล่า must กับ have to ใช้แทนกันได้ เช่น You must take care of your health. หรือ You have to take care of your health. ก็มีความหมายเดียวกันว่า "คุณต้องดูแลสุขภาพ"

          - แต่ must กับ have to ก็มีข้อแตกต่างกันนะคะ ถ้าใช้ must จะแปลว่า "ต้องทำ" เป็นหน้าที่หรือข้อบังคับ เช่น
          You must study hard in order to pass the exam.
           ฉันต้องเรียนหนักเพื่อจะได้สอบผ่าน
โดย in order to หมายถึง "เพื่อที่จะ" บวกด้วยกริยาช่อง 1 ไม่เปลี่ยนรูปเสมอ
       
           - ส่วน have to จะมีนัยยะว่า "จำเป็นต้องทำ" คนอื่นสั่ง บาวทีก็ไม่อยากทำ เช่น 
            I have to go shopping with my mother again . That's very boring.
            ฉันต้องไปซื้อของกับแม่อีกแล้ว น่าเบื่อจัง

            - แต่ถ้าเป็นประโยคปฏิเสธ เราจะเห็นความแตกต่างระหว่าง must not "ต้องไม่" กับ don't have to "ไม่ต้อง" ได้ชัดเจน มาดูประโยคตัวอย่างกันค่ะ
              You must not drive after drinking alcohol.
              คุณต้องไม่ขับรถหลังจากดื่มแอลกอฮอลล์ เมาไม่ขับค่ะ

           - จะเห็นว่า must not ในประโยคนี้แสดงถึงการห้าม (prohibition)
             You don't have to drive.
             คุณไม่จำเป็นต้งขับรถ
ประโยคนี้หมายถึง จะขับก็ได้หรือไม่ขับก็ได้ don't have to จึงแสดงถึงการให้ทางเลือก ว่าเราไม่จำเป็นต้องทำ อย่างนี้ อย่างนั้น

พี่ไหมขอแถม...

           พี่ไหมขอตั้งข้อสังเกตไว้นิดนึงว่า must เป็นกริยาช่วย เวลาจะปฏิเสธจึงนำคำว่า not มาวางไว้ด้านหลงได้เลย แต่ have to ไม่มีกริยาช่วย เวลาปฏิเสธจึงต้องดึง verb to do เข้ามาช่วย นอกจากนี้ must ยังใช้พูดถึงปัจจุบันเท่านั้น ไม่สามารถผัน tense ได้ แตกต่างจาก have to ที่ผันเป็น had to แสดงความเป็นอดีต และ will have to แสดงความเป็นอนาคตได้
เรียนรู้เพิ่มเติม คลืกเลย !!
https://www.youtube.com/watch?v=w7fgnz43Dc0

Beside vs Besides




ถาม : ทำไม beside ต้องเติม -s ด้วยคะ
ตอบ : ก็เพราะจริง ๆ แล้ว มีคำอยู่สองคำที่สะกดคล้ายกัน แต่มีความหมายแตกต่างกันค่ะ beside จะเป็นคำเชื่อมบอกสถานที่ แปลว่า "ข้างๆ" คล้ายกับคำว่า near ที่แปลว่า "ใกล้" เช่น
                Stand beside me. ยืนอยู่ข้างๆฉันนะ
                I walk beside you. ฉันเดินอยู่ข้างเธอ
สองประโยคข้างบนนี้ มีความหมายโดยอ้อมว่า อยู่คอยเป็นกำลังใจให้กันนะ
ส่วน beside เติม -s แปลว่า "นอกจาก" เช่น
                I cannot love anyone else besides you.
                ฉันไม่สามารถรักใครได้อีกแล้วนอกจากเธอ
besides ยังมักใช้ในการเขียนเพื่อบอกประเด็นเพิ่ม เช่น
               This book is cheap. Besides, it give me a lot of information.
               หนังสือเล่มนี้ราคาไม่แพง แถมยังให้ข้อมูลเพิ่มอีกเพียบ



เรียนรู้เพิ่มเติม คลิกเลย !!